ในบทนี้เรามาทำความรู้จักประเภทของอัญมณีและคุณสมบัติที่สำคัญของอัญมณีกัน อัญมณีสามารถแยกเป็นประเภทใหญ่ๆดังนี้
- อัญมณีธรรมชาติ เป็นอัญมณีแท้ที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นอัญมณีที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น เพชร ทับทิม ไพลิน ฯลฯ และอัญมณีที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น ไข่มุก ปะการัง อำพัน
- อัญมณีที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยสามารถแบ่งเป็น
1. อัญมณีสังเคราะห์ (Synthetic) เป็นอัญมณีที่มนุษย์สร้างขึ้นมา โดยมีคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพเหมือนกับอัญมณีธรรมชาติ เช่น ทับทิมสังเคราะห์ (Synthetic Ruby) ไพลินสังเคราะห์ (Synthetic Sapphire) มรกตสังเคราะห์ (Synthetic Emerald) หรือในภาษาที่เรียกกันตามท้องตลาดว่า “พลอยอัด”
ทับทิมสังเคราะห์
ไพลินสังเคราะห์
2. อัญมณีเลียนแบบ (Imitation) เช่น คิวบิคเซอร์โคเนีย (Cubic Zirconia) เป็นอัญมณีที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเพชร หรือที่เรียกกันว่า เพชรรัสเซียนั่นเอง แม้แต่แก้วและพลาสติก (Glass and Plastic) เมื่อนำมาเจียระไนใส่เป็นเครื่องประดับก็ถือว่าเป็นอัญมณีเลียนแบบเช่นกัน
โดยทั่วไป เราจะเรียกอัญมณีกันง่ายๆว่าเป็นอัญมณีแท้หรือปลอม ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบว่าอัญมณีปลอมหรืออัญมณีที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นมีอยู่ 2 แบบดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ เป็นแบบสังเคราะห์ และ แบบเลียนแบบ บ่อยครั้งที่คนเข้าใจผิดว่าทับทิมสังเคราะห์เป็นแบบเดียวกับพลอยปลอมจำพวกแก้ว ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการปลอมที่ไม่เหมือนกัน ทับทิมสังเคราะห์มีความแข็งเท่ากับทับทิมธรรมชาติ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติทางเคมีโดยรวมเหมือนกัน ต่างกันตรงที่มลทินภายใน ซึ่งวิธีการแยกจะกล่าวต่อไป
คุณสมบัติที่สำคัญของอัญมณี
ใช่ว่า “แร่” ทุกชนิดจะจัดเป็นอัญมณี การที่จะเรียกแร่ชนิดหนึ่งว่าเป็น “อัญมณี” ได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติสามประการประกอบกัน คือ ความสวยงาม (Beauty) ความหายาก (Rarity) และความทนทาน (Durability)
ความสวยงาม (Beauty)
ความสวยงามถือว่าเป็นสิ่งแรกที่คนสังเกตได้ เพียงแต่ว่าความสวยของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน ความสวยงามของอัญมณีสามารถพิจารณาได้หลายปัจจัยดังนี้
-สี (Color) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เช่น หากคุณต้องการซื้อทับทิมซักเม็ดหนึ่ง ก็ต้องพิจารณาดูว่าสีแดงสวยหรือไม่ สีไม่เข้มเกินไปหรือจืดเกินไป
-สัดส่วน(Symmetry) เป็นสิ่งที่สองที่ควรพิจารณา ควรดูว่าการเจียระไนได้สัดส่วนดีหรือไม่ รูปร่างได้ส่วนไม่บิดเบี้ยว
-ความวาว (Luster) ดูได้จากแสงสะท้อนบนผิวอัญมณีครับ ซึ่งสามารถสังเกตได้ที่เหลี่ยมหน้ากระดาน ความวาวของอัญมณีแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน เช่น วาวแบบโลหะ (Metallic) วาวแบบเพชร (Adamantine) วาวแบบแก้ว (Vitreous) ฯลฯ
-ความโปร่งแสง (Transparency) เป็นความสามารถในการทำให้แสงผ่าน เรียกง่ายๆก็คือดูความใสของอัญมณีนั่นเอง พลอยบางเม็ดเนื้ออาจไม่ใส ขุ่น หรือทึบแสง
ความหายาก (Rarity)
สิ่งใดที่เรียกว่าหายาก คนมักจะให้คุณค่ากับสิ่งนั้น พลอยบางชนิดอาจหายากกว่าอีกชนิดหนึ่ง หรือพลอยชนิดเดียวกัน ถ้ามีขนาดใหญ่ ราคาก็ยิ่งสูงตามเท่านั้น นั่นเป็นเพราะพลอยขนาดใหญ่หายากกว่าขนาดเล็กนั่นเอง ไม่เพียงแต่เฉพาะความหายาก คุณค่าจะมีมากก็ต่อเมื่อมีความต้องการของตลาดด้วย หากพลอยหายากจริงแต่คนทั่วไปไม่รู้จัก ก็อาจไม่เป็นความต้องการของตลาด
ความทนทาน (Durability)
ความทนทานสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ ความแข็ง ความเหนียว และความคงทน บ่อยครั้งที่ผู้ซื้ออัญมณีมักจะถามกันอยู่เสมอๆว่าพลอยชนิดนี้แข็งไหม อ่อนไหม เมื่อนำมาใส่เป็นแหวนแล้วจะเป็นรอยง่ายไหม “ความแข็ง” ที่กล่าวถึงนี้ ก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของอัญมณีอย่างหนึ่ง
ความแข็ง (Hardness) หมายถึง ความทนทานของแร่ต่อการขีดข่วนให้เป็นรอย การวัดความแข็งของอัญมณีและแร่ต่างๆจะใช้มาตรฐานของ Moh's scale โดยจัดความแข็งของแร่ เริ่มจากเลข 1-10 ดังนี้จะเห็นว่า เพชรมีความแข็งมากที่สุด คือ มีค่าเท่ากับ 10 รองลงมา คือ พลอยตระกูลคอรันดัม (Corundum) ซึ่งได้แก่ ทับทิม (Ruby) ไพลิน (Blue Sapphire) บุษราคัม (Yellow Sapphire) และแซปไฟร์สีต่างๆ(Fancy Sapphire) พลอยในกลุ่มนี้ จะจัดอยู่ใน "พลอยเนื้อแข็ง" ซึ่งมีความแข็งเท่ากับ 9 ส่วนพลอยอื่นๆที่มีความแข็งต่ำกว่า 9 จะจัดอยู่ใน "พลอยเนื้ออ่อน" ทั้งหมด เช่น อเมทิสต์ (Amethyst) จัดอยู่ในพลอยตระกูลควอตซ์ (Quartz) มีความแข็งเท่ากับ 7 พลอยที่มีความแข็งมากกว่า จะสามารถขูดขีดพลอยที่มีความแข็งน้อยกว่าให้เป็นรอยได้ ดังนั้นเวลาเก็บพลอย ควรเก็บไว้ในที่ที่แยกจากกันเป็นสัดส่วน อย่าให้กระทบกระทั่งกันจนเกิดเป็นรอยได้
ความเหนียว (Toughness) เป็นความคงทนต่อการแตก ทนต่อการกะเทาะ หรือถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็คือ เมื่อพลอยถูกกระแทกด้วยของแข็ง พลอยที่มีความเหนียวสูงจะไม่แตกง่ายๆ ความเหนียวนี้เป็นคนละเรื่องกับความแข็ง พลอยที่มีความเหนียวสูงที่สุดในบรรดาอัญมณีก็คือหยก (Jade) ถึงแม้ว่าหยกจะมีความแข็งเพียง 6.5-7 ซึ่งน้อยกว่าเพชรมาก แต่ความเหนียวกลับมีมากกว่าเพชรเสียอีก ดังนั้นพลอยที่มีความแข็งสูง ก็อาจมีความเหนียวน้อยกว่าพลอยที่มีความแข็งต่ำกว่าได้
ความคงทน (Stability) เป็นความคงทนต่อสารเคมี ความร้อน หรือแสง ซึ่งพลอยบางชนิดไม่ค่อยมีความทนทานต่อสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดเครื่องประดับ ไม่ควรใช้กับพลอยเนื้ออ่อนบางชนิด เช่น เพอริโด (Peridot) ซึ่งอาจทำให้ผิวของพลอยด้านได้ หรือพลอยบางชนิดจะมีความไวต่อแสง เช่น พลอยคุนไซต์ (Kunzite) หากพลอยคุนไซต์สัมผัสกับแสงเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถทำให้สีของพลอยจืดจางลงได้
อ่านต่อ - ตอนที่ 5 https://www.gemsharmonyshop.com/b/17
อ่านตอนที่ 3 https://www.gemsharmonyshop.com/b/15