การปรับปรุงคุณภาพพลอย เป็นการทำให้คุณภาพพลอยให้ดีขึ้น หรือเรียกง่ายๆก็คือ ทำให้พลอยสวยขึ้นนั่นเอง การปรับปรุงคุณภาพพลอยสามารถทำได้ในหลายกระบวนการด้วยกัน เช่น การเผา การฉายรังสี การย้อมสี การอุดรอยแตก ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สามารถทำได้ทั้งในพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็ง
พลอยเนื้ออ่อนที่นิยมนำมาปรับปรุงคุณภาพ ยกตัวอย่างเช่น เพทายสีน้ำตาลมักนำมาเผาให้เป็นเพทายสีขาวหรือสีฟ้า บลูโทพาสผ่านการฉายรังสี มรกตมีการอุดรอยแตกด้วยน้ำมัน (Oil) หรือสารเรซิน (Resin) ฯลฯ
การปรับปรุงคุณภาพในพลอยเนื้ออ่อนหลายชนิดจะมีการทำเป็นปกติ ประมาณ 99.99% ของพลอยชนิดนั้นๆเลยก็ว่าได้ ปัจจัยเรื่องการปรับปรุงคุณภาพจึงไม่มีผลต่อราคาพลอยนั้นมากนัก อีกทั้งส่วนใหญ่ก็ไม่มีหลักฐานหลงเหลือให้นักอัญมณีตรวจสอบได้ จึงถือว่าทำกันเป็นปกติและรู้กันโดยทั่วไป ส่วนมรกตเป็นพลอยที่สามารถสังเกตร่องรอยของน้ำมันหรือสารเรซินที่อุดอยู่ในรอยแตกได้ โดยธรรมชาติเนื้อของมรกตจะมีการแตกร้าวมาก การอุดรอยแตกจะทำให้พลอยดูสวยขึ้นมาก ดังนั้น มรกตแทบทุกเม็ดจะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพโดยการอุดรอยแตกซึ่งเป็นปกติของมรกต
นอกจากนี้ วิธีการปรับปรุงคุณภาพของพลอยเนื้ออ่อนบางชนิด อาจมีผลต่อราคาได้เช่นกัน เช่น การย้อมสี การเคลือบสี ซึ่งทำให้สีของพลอยนั้นไม่คงทนถาวร สามารถหลุดออกได้ ดังนั้นเวลาซื้อก็ควรระวังตรงนี้ไว้ซักนิด
ส่วนการปรับปรุงคุณภาพในพลอยเนื้อแข็งหรือพลอยตระกูลคอรันดัม (Corundum) ซึ่งได้แก่ ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง และแซปไฟร์สีต่างๆ พลอยตระกูลนี้นิยมนำมาผ่านการเผาด้วยความร้อนสูง การศึกษาเรื่องการเผาในพลอยตระกูลนี้มีความสำคัญมาก เพราะการเผามีหลายวิธีและราคาของพลอยที่ผ่านการเผาในแต่ละแบบก็แตกต่างกันมากด้วย
การเผาพลอยตระกูลคอรันดัม สามารถเผาพลอยที่มีสีเข้มเกินไปให้มีสีอ่อนลง เผาพลอยสีอ่อนให้มีสีเข้มขึ้น เผาพลอยที่แตกร้าวให้มีการเชื่อมประสานกัน หรือแม้แต่การเผาพลอยให้ใสขึ้นก็สามารถทำได้ ซึ่งพลอยแต่ละชนิดและพลอยแต่ละแหล่งจะใช้กรรมวิธีแตกต่างกัน ผู้เผาพลอยจึงต้องมีความชำนาญในการดูก้อนพลอยว่าสามารถนำมาเผาได้หรือไม่ และควรเผาแบบใดจึงจะเหมาะสม เพราะการเผาแต่ละแบบ จะใช้ อุณหภูมิ ระยะเวลา และบรรยากาศภายในเตาเผาแตกต่างกันไป
พลอยที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเผา ในตลาดจะเรียกว่า “พลอยสด” หรือ “พลอยดิบ” โดยทั่วไปราคาพลอยที่ไม่ได้ผ่านการเผาจะมีราคาสูงกว่าพลอยเผา หากเปรียบเทียบในคุณภาพที่เท่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพลอยเผาคุณภาพไม่ดี การเผาพลอยเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก และทำกันมานานแล้ว เพียงแต่ว่าการซื้อขายพลอย ก็ควรที่จะเปิดเผยว่าเป็นพลอยสดหรือเผาแบบใดมา
เผาเก่า เผาใหม่ คืออะไร?
คำว่าเผาเก่าและเผาใหม่ เป็นคำที่คนในตลาดพลอยใช้กัน ซึ่งอาจจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเป็นการเผาแบบใดกันแน่ เรามาดูกันว่าเผาเก่า-เผาใหม่นี้ ตามท้องตลาดหมายถึงการเผาแบบใด
เผาเก่า
หมายถึงการเผาแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการเผาแบบให้ความร้อนโดยไม่ใส่สารใดๆ และรวมถึงการเผาทับทิมที่มีการใส่สารบอแรกซ์และซิลิกา เพื่อไปประสานรอยร้าวของพลอย หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “น้ำยา” นั่นเอง การเผาแบบนี้เป็นการเผาที่ทำมานานแล้ว
ส่วนคำว่าเผาใหม่ เป็นคำที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา สมัยก่อนเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วพลอยเผาใหม่จะหมายถึงพลอยที่ผ่านการเผามา 2 แบบ คือ 1.เผาใส่สารเบริลเลียม (Be) และ 2. เผาใส่สารแก้วตะกั่ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีการเผาแบบใหม่เกิดขึ้นมาอีกเรื่อยๆ นิยามของคำว่าเผาใหม่จึงเปลี่ยนไป ปัจจุบัน (ปี 2563) คำว่าเผาใหม่จะใช้กับพลอยเผาแก้วตะกั่วเป็นหลัก ส่วนพลอยเผาใส่สารเบริลเลียมจะเรียกกันว่า เผาบีอี (Be) กันมากกว่า แต่จริงๆก็ยังมีคนรุ่นเก่ายังเรียกเผาใหม่กันอยู่บ้าง
เอาเป็นว่า สรุปตามสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเป็นพลอยที่ใส่ "แก้วตะกั่ว" จะเรียกว่า "เผาใหม่"
เรามาดูรายละเอียดของการเผาแต่ละแบบกัน
เผาแก้วตะกั่ว (เผาใหม่)
เป็นการเผาแบบใส่ “แก้วตะกั่ว” (Lead Glass) ลงไปในกระบวนการเผาพลอย พลอยที่นำมาเผาวิธีนี้มักจะมีรอยแตกร้าวมาก การใส่แก้วตะกั่วลงไปก็เพื่อประสานรอยแตกให้เรียบเนียนขึ้น ซึ่งต่างจากการเผาเก่าที่ไม่ได้มีการผสมตะกั่วลงไป และนอกจากตะกั่วแล้ว อาจมีการใส่โลหะหนักอื่นๆ เช่น บิทมัส (Bismuth) ร่วมลงไปในกระบวนการเผาด้วย การเผาวิธีนี้พบมากในพลอยทับทิมแอฟริกา รวมถึงพลอยสตาร์ด้วย
การเผาแก้วตะกั่วในทับทิมมีการทำมาเกือบ 20 ปีได้แล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังเรียกการเผาแบบนี้ว่าเผาใหม่อยู่ และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้มีการเผาแก้วตะกั่วโดยมีการใส่สารโคบอลต์ลงไปเผาด้วย โคบอลต์ (Cobalt) เป็นสารที่มีสีน้ำเงิน ทำให้สีซึมลงไปตามรอยแตกคล้ายการย้อมสี ในตลาดเรียกพลอยที่เผาแบบนี้ว่าเป็นไพลินเผาใหม่
เผา Be
เป็นการเผาโดยใส่สาร “เบริลเลียม” (Beryllium) มักทำในพลอยแซปไฟร์ เช่น บุษราคัม (Yellow Sapphire) เขียวส่อง (Green Sapphire) แซปไฟร์สีส้ม แซปไฟร์พัดพารัดชา (Padparadscha) บางคนเข้าใจผิดว่าการใส่สารเบริลเลียม เป็นการใส่สีเหมือนการย้อมสี ซึ่งจริงๆแล้วสารเบริลเลียมไม่ได้เป็นสารให้สี แต่เบริลเลียมจะไปทำปฏิกิริยากับธาตุที่มีอยู่ภายในพลอย ทำให้พลอยสีสวยขึ้นและสีก็คงทนถาวร
นอกจากนี้ การเผาพลอยตระกูลคอรันดัมยังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่เรียกว่าการเผาแบบ “ซ่านสี” หรือภาษาพ่อค้าพลอยเรียกว่า “ดิฟฟิ้ว” ซึ่งนำมาจากภาษาอังกฤษ คือ Diffusion treatment นั่นเอง การเผาแบบนี้มักทำในพลอยแซปไฟร์สีขาวหรือแซปไฟร์สีอ่อนที่ไม่สามารถเผาโดยวิธีปกติได้ โดยนำมาเผาใส่สารเคมี ทำให้เกิดสีแพร่ลงไปในเนื้อพลอยในระดับตื้นๆ สีจึงอยู่แค่ส่วนที่ผิวเท่านั้น ดังนั้นหากนำพลอยชนิดนี้ไปเจียระไนใหม่ ก็สามารถทำให้สีหายไปได้เช่นกัน นอกจากนี้ การเผาแบบ Diffusion ยังสามารถเผาพลอยแซปไฟร์ให้มีสตาร์เกิดขึ้นมาได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับคนที่ได้สังเกตพลอยสตาร์บ่อยๆ สตาร์แบบซ่านสีจะดูผิดธรรมชาติ
อ่านต่อ - ตอนที่ 10 https://www.gemsharmonyshop.com/b/22
อ่านตอนที่ 8 https://www.gemsharmonyshop.com/b/20