หยกเป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน เรียกได้ว่าเป็นอัญมณีคู่กายของชาวจีน หยกมีความแข็งอยู่ที่ 6.5-7 แต่ทว่า มีความเหนียว (Toughness) มากที่สุดเมื่อเทียบกับอัญมณีอื่นๆเนื่องจากมีโครงสร้างที่เกาะกันเหนียวแน่นมาก สมัยก่อนหยกจะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หยกเจไดท์ (Jadeite) และ หยกเนฟไฟรท์ (Nephrite) แต่ปัจจุบันมีหยกประเภทที่ 3 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับหยกเจไดท์มาก คือ หยกออมฟาไซท์ (Omphacite) อย่างไรก็ตาม หยกเจไดท์จะเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสีสันที่สวยงาม ดังนั้นในตอนนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงเฉพาะหยกเจไดท์
หยกเจไดท์สามารถมีได้หลายสี ได้แก่ สีเขียว สีม่วงลาเวนเดอร์ สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีน้ำตาล สีขาว สีดำ และสีเทา สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สีเขียว หยกสีเขียวที่มีคุณภาพดีที่สุดเรียกว่า หยกจักรพรรดิ (Imperial Jade) มีสีเขียวสดใส สวยงามมาก เนื้อมีความเนียนและละเอียด จึงทำให้มีราคาสูง
ศูนย์การค้าใหญ่ของหยกเจไดท์จะอยู่ที่ประเทศจีนและฮ่องกง แต่แหล่งที่สำคัญและมีการทำเหมืองกันเป็นหลักจะอยู่ที่ประเทศพม่า ส่วนประเทศอื่นๆที่สามารถพบหยกเจไดท์ได้ ได้แก่ กัวเตมาลา รัสเซีย และญี่ปุ่น สำหรับบ้านเรา การค้าขายหยกจะมีมากที่ตลาดพลอยแม่สอด จ.ตาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหยกที่มาจากประเทศพม่า การซื้อขายจะคิดราคากันเป็นชิ้น ไม่ได้คิดตามน้ำหนักกะรัตเหมือนพลอยชนิดอื่นๆ ราคาจึงขึ้นอยู่กับความสวยงามของหยกชิ้นนั้นๆ
**สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อซื้อหยก**
แท้หรือเทียม
สิ่งที่ต้องระวังในการซื้อหยก คือ พลอยชนิดอื่นที่มีลักษณะคล้ายหยก เช่น ควอตซ์ย้อมสี (Dyed Quartz) เซอร์เพนทีน (Serpentine) คริสโซเพรส (Chrysoprase) ฯลฯ รวมถึงแก้วและพลาสติก การดูหยกแท้ที่เป็นหยกเจไดท์ต้องอาศัยความชำนาญพอสมควร โดยการสังเกตลักษณะเส้นหินของหยก ที่มีลักษณะเป็นเส้นใยธรรมชาติ
การปรับปรุงคุณภาพ
หยกเจไดท์มีการจัดระดับตามการปรับปรุงคุณภาพเป็น Type A B และ C ดังต่อไปนี้
Type A – เป็นหยกธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพใดๆ
Type B – เป็นหยกที่ผ่านการฟอกจางด้วยกรดและอัดสารพอลิเมอร์ลงไป หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “หยกอาบน้ำ”
Type C- เป็นหยกที่ผ่านการย้อมสี มักนำหยกสีอ่อนมาย้อมสีเพื่อให้ได้สีที่เข้มและสวยขึ้น
Type B+C – เป็นหยกที่มีการใส่ทั้งสารพอลิเมอร์และย้อมสี
สำหรับการวิเคราะห์หยกแต่ละชนิด ต้องอาศัยความชำนาญและเครื่องมือในการตรวจสอบที่แม่นยำ หยกที่มีการปรับปรุงคุณภาพย่อมมีราคาถูกกว่าหยกธรรมชาติ ดังนั้น ควรส่งหยกที่ไม่มั่นใจเข้าห้องแล็บตรวจสอบจะดีที่สุด
สี
ควรเลือกหยกที่มีสีสม่ำเสมอ ไม่มีรอยด่าง หรือจุดสีด่าง หยกสีเขียวมีหลายโทนสีตั้งแต่สีเขียวอ่อน สีเขียวแอปเปิ้ล สีเขียวอมเหลือง สีเขียวควรมีความสด ไม่เข้มเกินไป หยกบางชิ้นที่มีสีด่างอาจเกิดจากการย้อมสีเป็นหย่อมๆ ทำให้ดูเหมือนหยกธรรมชาติ จึงต้องระวังตรงนี้ไว้ด้วย
เนื้อ
หยกมีเนื้อตั้งแต่โปร่งใส โปร่งแสง จนถึงทึบแสง หยกที่มีคุณภาพดีเนื้อจะมีความละเอียด และดูโปร่งใส หรือที่เรียกกันว่าหยกเนื้อแก้ว (Glassy) ควรเลือกหยกที่เนื้อละเอียด ไม่มีรอยร้าวที่เห็นชัดเจน และมีความเนียนที่ผิว ไม่มีรอยแตกระแหง ไม่มีรอยขีดข่วนจนเห็นชัดเจน อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักเลือกหยกที่สี ก่อนที่จะพิจารณาเนื้อของหยก เนื่องจากสีจะมีผลต่อความสวยงามโดยรวมของหยกมากกว่า
การเจียระไน
หยกมักถูกนำมาเป็นเจียระไนเป็นแบบหลังเบี้ย กำไล แหวน ลูกปัด หรือนำมาแกะสลัก หยกหลังเบี้ยบางครั้งมีการเจียระไนเป็นชิ้นบาง และมักมีการขายโดยการใส่ไว้ในตัวเรือนชั่วคราว ทำให้ดูหลอกตา เวลาซื้อก็ควรให้คนขายแกะออกมาจากตัวเรือนเพื่อดูรูปร่างจริงๆของหยกจะดีกว่า ควรเลือกหยกที่ดูมีเนื้ออูมซักนิด ให้ดูมีเนื้อมีหนัง ไม่บางจนเกินไป ส่วนหยกแกะสลักควรเลือกแบบที่ได้สัดส่วน ดูแล้วมีความสมดุลพอดี ไม่ดูบิดเบี้ยว
อ่านต่อ - ตอนที่ 15 https://www.gemsharmonyshop.com/b/27
อ่านตอนที่ 13 https://www.gemsharmonyshop.com/b/25